รีวิว iPhone 13 Pro หนึ่งในเรือธงตัวท็อป เครื่องสวย สเปคแรง มีกล้องอัพเกรด

รีวิว iPhone 13 Pro หนึ่งในตระกูล Pro ของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นล่าสุดของ Apple ที่รองจากรุ่น Pro Max ซึ่งการันตีเรื่องความสวย ฟีลสัมผัสดี สเปคแรง รวมถึงกล้องที่ผ่านการอัพเกรดจากรุ่นก่อน

เริ่มด้วยการแกะกล่องกันก่อน iPhone 13 Proรวมถึงรุ่นอื่นๆ ในซีรีส์ ก็มาพร้อมกล่องที่เบาบางเมื่อเหมือนกับรุ่นก่อน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรักษ์โลกของ Apple ที่ต้องการจะลดขยะ และสิ่งที่เพิ่มจากจากปีที่ผ่านมาคือตัวกล่องจะไม่หุ้มด้วยพลาสติกแต่จะใช้แถบกาวเป็นตัวยึดฝากล่องแทน เมื่อดึงแถบกาว เปิดกล่องออกมาก็จะพบกับ

ดีไซน์เรียกว่ายึดแบบมาจาก 12 Pro ตัวเครื่องเป็นขอบเหลี่ยม มีวัสดุเครื่องหน้า-หลังเป็นกระจก ตัวขอบเป็นสแตนเลสสตีลขัดเงา มีมาตรฐานกันน้ำ IP68 หรือทนต่อการลงน้ำจืดในระดับความลึกไม่เกิน 6 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที

Apple ใช้กระจกด้านหน้าที่เป็น Ceramic Shield กระจกเคลือบเซรามิกที่ทนทานต่อรอยขีดข่วน และยังเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ขณะที่กระจกด้านหลังมีการทำผิวสัมผัสแบบด้าน ยกเว้นบริเวณที่เป็นโลโก้ ซึ่งช่วยลดการเกิดรอยนิ้วมือได้ดี มีสัมผัสที่หรูหรา โดยเครื่องที่เราได้มาเป็นสี Gold ที่จะมีความทองอมชมพูดูสวยหรูใช้ได้

ขนาดเครื่องอยู่ที่ 146.7 x 71.5 x 7.7 มม. หนัก 204 กรัม เกือบเท่ากันกับ iPhone 12 Pro แต่ไม่สามารถใส่เคสด้วยกันได้ เนื่องจาก 13 Pro มีพื้นที่โมดูลกล้องหลังที่กว้างกว่า

หน้าจอของรุ่นนี้มีขนาด 6.1 นิ้ว เท่ากับ 12 Pro ใช้พาแนล Super Retina XDR OLED ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล มีความหนาแน่นพิกเซล 460ppi ความสว่างหน้าจอไปได้สูงสุดที่ 1200nits แต่ถ้าแบบมาตรฐานจะได้ที่ 1000nits มีอัตราส่วน Contrast Ratio 2,000,000:1 ทำให้ดูคอนเทนท์ที่เป็น HDR ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีฟีเจอร์ True Tone ที่ปรับ White Balance บนจอให้ตรงกับอุณหภูมิของแสงรอบๆ

จุดที่เป็นไฮไลท์และเป็นสิ่งที่แฟน Apple รอคอยมานานคือการที่สมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีหน้าจอรีเฟรชเรทสูงกับเขาสักทีตัวเทคโนโลยีนี้ Apple ใช้ชื่อ ProMotion หรือเป็นอัตรารีเฟรชเรทของจอที่ปรับได้ในช่วงระหว่าง 10-120Hz ตามลักษณะคอนเทนท์ที่ใช้งาน แต่ถ้าใครไม่แคร์เรื่องการเคลื่อนไหวจอลื่นๆ เน้นเซฟแบตเตอรี่ ก็สามารถเข้าตั้งค่าให้จำกัดรีเฟรชเรทไว้แค่ 60Hz ได้

สัดส่วนขอบจอถือว่าบาง รวมถึงบริเวณติ่งหน้าจอที่เป็นพื้นที่ของลำโพงสนทนา, กล้องหน้า และเซ็นเซอร์ 3D Depth Sensing ก็มีขนาดที่เล็กลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ช่วยลดความรำคาญตาเวลาชมคอนเทนท์ไปได้เยอะ

พลิกมาด้านหลังก็เป็นดีไซน์ที่คุ้นเคยมุมซ้ายบนเป็นโมดูลทรงสี่เหลี่ยมของกล้องหลัง 3 ตัวที่วางเรียงกันเป็นทรงสามเหลี่ยมมีแฟลชอยู่ด้านบน และมีเซ็นเซอร์ ToF 3D LiDAR Scanner อยู่ด้านล่าง

ส่วนขอบเครื่องด้านซ้ายมีตัวปรับระดับเสียง และสวิตช์เปิด/ปิดเสียง และช่องใส่ถาดซิม ส่วนปุ่มพาวเวอร์อยู่ด้านขวา ขณะที่ขอบเครื่องด้านล่างมีไมโครโฟน, พอร์ต Lighting และลำโพง

เรื่องของสเปคภายในก็เป็นตามธรรมเนียมของ Apple ที่จะจัดชิปเซตรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับมือถือซีรีส์นี้โดยที่ iPhone 13 Pro ใช้ชิป A13 Bionic สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร ประมวลผลแบบ Hexa-core โดยมี 2-core ที่เป็นการประมวลผลที่เน้นประสิทธิภาพ และมี 4-core ที่เป็นการประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน ขณะที่ GPU มี 5-core และมี Neural Engine แบบ 16‑core

ด้านหน่วยความจำในรุ่นนี้ก็มีให้เลือก 4 ขนาด ตั้งแต่ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB ส่วนสเปค RAM ไม่มีข้อมูลทางการจากฝั่งผู้ผลิต แต่จากแหล่งข้อมูลภายนอกระบุว่าจะอยู่ที่ 6GB ส่วนระบบปฏิบัติการเป็น iOS 15 ตั้งแต่แกะกล่องออกมา ด้านระบบเครือข่ายไร้สายในรุ่นนี้รองรับสัญญาณ 5G แบบ Sub-6GHz ที่ใช้งานในไทยได้ พร้อมโหมดตัดสลับไปใช้ LTE และประหยัดแบตเตอรี่ให้โดยอัตโนมัติ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วบนเครือข่าย 5G ส่วน Wi-Fi ก็เป็น Wi-Fi 6

เรื่องการประมวลผลของชิป A15 ทางผู้ผลิตเคลมว่าประมวลผลได้ดีกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ ถึง 50% โดยไม่ได้ระบุว่าไปเทียบกับชิปของอะไร และจากการทดสอบด้วยแพลตฟอร์ม Benchmark อย่าง AnTuTu V9.0.3 ก็พบว่ามือถือรุ่นนี้ทำคะแนนได้ถึง 778,961 คะแนน

สำหรับการเล่นเกม 13 Pro สามารถรองรับเกมที่กินทรัพยากรเครื่องแบบหนักๆ ได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็น PUBG Mobile, Call Of Duty Mobile, ROV หรือ Genshin Impact โดยเฉพาะกับเกมหลังที่ล่าสุดมีอัพเดตให้ 13 Pro / 13 Pro Max สามารถเปิดเล่นในเฟรมเรท 120Hz ได้แล้ว

เรื่องสเปคสเปคแบตเตอรี่ปกติทาง Apple มักไม่ค่อยออกมาเผยความจุที่แท้จริงแต่จากข้อมูลที่ไปหามาน่าจะอยู่ที่ 3095mAh เมื่อทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการและชิปเซตก็เพียงพอจะอยู่ได้ทั้งวันสบายๆ ตามที่ทางค่ายเคลมว่าอยู่ได้นานกว่า 12 Pro 1.5 ชั่วโมง ส่วนเทคโนโลยีชาร์จรุ่นนี้รองรับชาร์จไวผ่านสายที่ 25W ด้วยเทคโนโลยี PD 2.0 ขณะที่การชาร์จแบบไร้สายก็รองรับ MagSafe 15W และการชาร์จด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน Qi 7.5W แต่แน่นอนว่าต้องไปหาอะแดปเตอร์ชาร์จที่รองรับกันเอง

เรื่องความสามารถของกล้องต้องบอกว่าตระกูล iPhone 13 Pro ค่อนข้างชูเรื่องนี้มากๆ ก่อนอื่นก็ต้องไล่กันที่สเปคกล้องหลังกันก่อน ซึ่งประกอบไปด้วย

ใน 13 Pro มาพร้อมกับเซ็นเซอร์กล้องขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมระบบกันสั่น sensor-shift OIS ที่ช่วยให้การถ่ายภาพแสงน้อยทำได้ดีขึ้น รวมถึงการถ่ายวีดีโอที่ทำได้นิ่งมากๆ ขณะที่การถ่ายในสภาพแสงปกติก็เก็บรายละเอียด สีสันได้สวยงามไม่มีปัญหา

ส่วนกล้อง Ultrawide ในรุ่นนี้นอกจากจะเก็บภาพมุมกว้าง 120 องศาได้แล้ว ก็ยังมีลูกเล่น Macro Mode ที่สลับได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อกล้องจับระยะวัตถุได้ แต่เราก็พบปัญหาเมื่อใช้งานจริงในเรื่องความสมูทในการสลับระยะของกล้องที่จะมีอาการวูบไปมา ทำให้ยากต่อการจัดองค์ประกอบของภาพซึ่งก็ได้แต่หวังว่า Apple จะรีบมีตัวอัพเดตเพื่อแก้ปัญหานี้ หรือเพิ่มออฟชั่นให้ผู้ใช้เปลี่ยนระยะกล้องเองได้โดยไม่ต้องให้ระบบคำนวนให้ ด้านกล้อง Telephoto มีระยะ Optical zoom ได้ 3 เท่า การตัดขอบหน้าชัดหลังเบลอในโหมด Portrait ถือว่าทำได้ดี

ส่วนกล้องหน้าต้องยอมรับว่า Apple ไม่ได้พัฒนาอะไรขึ้นมาจากรุ่นก่อนมากนัก โดยที่ยังใช้ชุดกล้องเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 ขนาดเซ็นเซอร์ 1/3.6 นิ้ว ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ 3D Depth Sensing โทนกล้องปกติก็จะออกมาเรียลๆ มี HDR ช่วยดึงรายละเอียดเมื่อถ่ายในจุดที่มีความต่างของแสงเยอะๆ ส่วนเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอทำได้ยอดเยี่ยม

สิ่งที่เป็นของใหม่และมีให้ใช้ทั้งกับกล้องหน้าและกล้องหลังคือฟีเจอร์ Photographic Styles ซึ่งเป็นโปรไฟล์การปรับแต่งกล้องในโทนต่างๆ ให้เลือกใช้งานกันโดยที่ยังคงได้ภาพที่ออกมาเป็นธรรมชาติ ขณะที่ตัวคนใช้เองก็สามารถปรับโทน หรืออุณหภูมิสีเพิ่มจากที่มีอยู่ได้เพื่อให้ตรงกับความต้องการ

อีกลูกเล่นที่อยากนำเสนอคือตัว Cinematic Mode ซึ่งเป็นฟีเจอร์การถ่ายวีดีโอที่ให้คุณภาพการโฟกัส สร้างมิติการเบลอ คล้ายกับงานภาพยนต์ รวมถึงการเปลี่ยนตำแหน่งจุดโฟกัสที่ทำได้สมูธแนบเนียน

ด้านการถ่ายวีดีโอใน iPhone 13 Proที่เป็นหน่วยความจำ 256GB ขึ้นไปจะรองรับการถ่ายแบบ ProRes สามารถบันทึกวีดีโอได้ในระดับความละเอียด [email protected] ใครที่ชอบถ่ายวีดีโอก็น่าจะชอบมือถือเครื่องนี้ ติดที่ว่าไม่ได้มีโหมด Pro ให้ปรับแต่งอะไรมากนัก

ส่วนตัวมองว่า iPhone 13 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะสำหรับคนที่ใช้รุ่นเก่ากว่า iPhone 12 เพราะจะได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่ก้าวกระโดดอย่างชัดเจน ส่วนคนที่ใช้ 12 Pro อยู่แล้วและอยากขยับมาเป็น 13 Pro ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไปไม่ได้เป็นสายถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอก็อาจจะได้รับประสบการณ์การใช้งานกล้อง, หน้าจอ กับชิปประมวลผลที่ดีขึ้น แต่ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว้าวอะไรมากนัก การรอรุ่นต่อไปก็คงจะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่า

ส่งท้ายด้วยเรื่องราคาของ iPhone 13 Pro ที่ขายในไทยมีดังนี้

Write a Comment