NBTC - ความรู้เกี่ยวกับเสาส่งสัญญาณมือถือ
เสาส่งสัญญาณมือถือโดยทั่วไปเป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กหรือคอนกรีต ซึ่งถูกออกแบบและสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการติดตั้งสายอากาศ สายอากาศเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่ง หรือรับคลื่นวิทยุสำหรับการสื่อสารของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่มีข้อกำหนดจากหน่วยงานของรัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ระบุว่าเสาส่งสัญญาณมือถือควรตั้งให้ห่างจากบ้านไม่น้อยกว่า 400 เมตร ดังนั้นตัวเลขนี้จึงไม่ควรนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดระยะห่าง อนึ่ง สำนักงาน กสทช. ได้ตรวจวัดคลื่นวิทยุในรัศมี 500 เมตร จากเสาส่งสัญญาณมือถือ และพบว่าระดับความแรงของคลื่นวิทยุไม่ได้เปลี่ยนแปลงกับระยะทางมากนัก
คลื่นวิทยุจากเสาส่งสัญญาณมือถือเป็นคลื่นที่มีระดับความแรงต่ำมาก (หลายร้อยหลายพันเท่า) เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยสากลที่ใช้กันในหลายๆประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย ความเห็นทางวิทยาศาสตร์ในระดับสากลส่วนใหญ่ รวมทั้งข้อสรุปขององค์การอนามัยโลกระบุว่าคลื่นที่มีระดับความแรงต่ำเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ อาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ (ชักกระตุก อาเจียน ปวดหัว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ ความจำเสื่อม ตาลาย หูอื้อ เบื่ออาหาร อารมณ์แปรปรวน หน้ามืด เป็นลม ฯลฯ) ซึ่งบางคนเชื่อว่าอาจเกิดจากเสาส่งสัญญาณมือถือที่อยู่ใกล้บ้านนั้นผลการวิจัยที่เชื่อถือได้ในทางวิทยาศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าอาการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับคลื่นวิทยุจากแหล่งกำเนิดต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ และเสาส่งสัญญาณมือถือ เป็นต้น ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขออนุญาตพร้อมเอกสารประกอบคำขอ ต่อสำนักงาน กสทช. ก่อนที่จะตั้งและเปิดใช้เสาส่งสัญญาณมือถือ และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพจะต้องมีเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้ ก. หลักฐานการทำความเข้าใจกับประชาชนที่พิสูจน์ได้ว่าบริเวณที่เสนอตั้งเสาส่งสัญญาณมือถือนั้น ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่แล้ว ข. ผลการประเมินความแรงของคลื่นวิทยุจากเสาส่งสัญญาณมือถือ เพื่อให้แน่ใจว่ามีระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรฐานสากล
หน่วยงานวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลกได้ประกาศเมื่อปี 2554 ว่าหลังจากประเมินผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์แล้วหน่วยงานวิจัยฯ ได้จัดให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุ (คลื่นวิทยุ) เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งอยู่ในกลุ่ม 2B (อาจเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง) การจัดให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุอยู่ในกลุ่มนี้มีพื้นฐานมาจากการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์มือถือ อนึ่ง กาแฟ ผักดอง และไอเสียเครื่องยนต์ เบนซินก็อยู่ในกลุ่ม 2B นี้ด้วย หน่วยงานวิจัยมะเร็งขององค์การอนามัยโลกได้ศึกษาว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่วิทยุ (คลื่นวิทยุ) จากแหล่งกำเนิดต่างๆ (เรดาร์ โทรศัพท์มือถือ สถานีวิทยุกระจายเสียงสถานีวิทยุโทรทัศน์ และเสาส่งสัญญาณมือถือ ฯลฯ) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่ ผลปรากฏว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง ยกเว้นกรณีที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานโดยเฉลี่ยวันละ 30 นาที ไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งดูเหมือนจะชี้แนะว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยต่อการเป็นเนื้องอกบางชนิด สำหรับกรณีของคลื่นวิทยุจากแหล่งกำเนิดอื่นๆ รวมทั้งจากเสาส่งสัญญาณมือถือนั้น ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคมะเร็ง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จนถึงทุกวันนี้ไม่ได้ยืนยันว่าการสัมผัสคลื่นวิทยุในชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไปมีผลกระทบแบบสะสมต่อร่างกาย
Write a Comment