รีวิว iPhone 11 Pro Max รุ่นกู้ศรัทธาสาวก ถูกลงและดีขึ้น
หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่า iPhone จะยังเป็นที่นิยมแต่กระแสก็ไม่คึกคักเท่าไร ต่างจาก iPhone 11 Pro Max ที่การเปิดตัวครั้งนี้สร้างกระแสความนิยมได้ในระดับที่สาวกกลับมาต่อแถวซื้อกันอีกครั้ง นั่นก็เพราะการปรับปรุงยกเครื่องครั้งใหญ่ ที่เหมือนจะน้อยแต่สร้างความต่างมาก โดยเฉพาะเรื่องกล้องที่ทำได้ทัดเทียมกับเรือธงคู่แข่งแล้ว
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนก็คือ Adapter ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และเปลี่ยนเป็นพอร์ต USB-C แต่ฝั่งของตัวเครื่อง iPhone 11 Pro Max ยังคงเป็นพอร์ต Lightning เหมือนเดิม ซึ่งตามสเปคแล้วจะจ่ายไฟได้ 18 วัตต์ ที่ช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้น โดยใช้เวลาราว 30 นาทีสำหรับการชาร์จ 50%
ขนาดของ iPhone 11 Pro Max แทบไม่ต่างกับ iPhone 7 Plus เลย แต่มีหน้าจอที่ใหญ่กว่าด้วยขนาด 6.5 นิ้วที่ความละเอียด 2688×1242 พิกเซล กับพาแนลแบบ OLED ซึ่ง Apple เรียกหน้าจอนี้ว่า Super Retina XDR เนื่องจากแสดงสีสันได้ดีกว่าเดิม ด้วยขอบเขตสี P3 และมี True Tone ที่ช่วยปรับอุณหภูมิสีของจอให้เป็นธรรมชาติตามแสงแวดล้อม โดยมีความสว่างสูงสุดที่ 1,200 นิตในโหมดการแสดงผลแบบ HDR และยังถูกเคลือบด้วยสารกันรอยนิ้วมือเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดคราบบนหน้าจอ
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ทันทีที่ถือเครื่องก็คือน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก โดยคู่แข่งอย่าง Galaxy Note 10+ มีหน้าจอขนาด 6.8 นิ้วและมีน้ำหนัก 196 กรัม หรืออย่าง HUAWEI Mate 30 Pro มีหน้าจอ 6.53 นิ้วและมีน้ำหนัก 198 กรัม แต่ iPhone 11 Pro Max ที่มีหน้าจอขนาด 6.5 นิ้วกลับมีน้ำหนักมากถึง 226 กรัม ถือว่าหนักเอาเรื่อง
ภายในกล่องให้สายชาร์จแบบ USB-C to Lightning และมีหูฟัง EarPods แบบหัว Lightning มาด้วย มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นเป็นแบบ IP68 ที่คราวนี้กันน้ำได้ลึกไม่เกิน 4 เมตรในระยะเวลา 30 นาที ( ตามมาตรฐาน IEC 60529 ) แม้ว่าสเปคจะระบุแบบนี้แต่ผมก็ไม่แนะนำให้เอาลงน้ำ เพราะถ้าอิงตามมาตรฐานการรับประกันทั่วไปของทุกค่ายแล้ว เมื่อความชื้นขึ้นจะถือว่าประกันขาด เพราะเค้าไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเราใช้งานภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดหรือเปล่า
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าระบบ Ecosystem ของ Apple เหนือชั้นกว่าคู่แข่งมาก สามารถทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ได้แนบสนิทที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบน iPhone, iPad หรือ Mac ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงระบบ Backup & Restore
การย้ายเครื่องจาก iPhone รุ่นเก่ามายัง iPhone 11 Pro Max ทำได้ง่ายมาก แค่เปิดเครื่องแล้ววางใกล้ๆ กัน ตัวระบบก็จะถามว่าต้องการโอนข้อมูลใช่ไหม เราก็แค่กดยืนยันและใส่รหัสผ่าน หรือในกรณีที่ไม่สะดวกทำวิธีนี้ก็ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่นการ Backup ผ่านคอมหรือผ่าน iCloud
ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลใน Line จะหายไปหรือ SMS มาไม่ครบ เพราะทุกสิ่งอย่างจะถูกถ่ายโอนมาไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย, แอพ, ข้อมูลในแอพ, ข้อมูลการเชื่อมต่อ Wi-Fi ฯลฯ แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าแอพบางตัวที่ต้องการความปลอดภัยเป็นพิเศษอย่างเช่น แอพธนาคาร หรือพวก Social Media บางตัว ก็ต้องทำการล็อกอินใหม่อีกครั้ง
อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็ต้องบอกกันอีกครั้งว่า iPhone 11 Pro Max รองรับการใช้งาน eSIM ซึ่งเป็นการฝังเบอร์ลงในตัวเครื่อง และสามารถฝังได้หลายเบอร์ในกรณีที่ต้องสลับเบอร์ เช่นคนที่เดินทางต่างประเทศบ่อยๆ และมีเบอร์ของแต่ละประเทศไว้
ในขณะที่ใช้ eSIM ก็ยังสามารถใส่ซิมได้อีกใบ ทำให้แทบไม่ต่างกับการมี iPhone ที่รองรับ 2 ซิมเลย ซึ่งวิธีการเปลี่ยนเป็น eSIM ก็ทำได้ง่ายเพียงแค่ถือเครื่องไปติดต่อเครือข่ายที่ใช้งาน และพนักงานก็จะจัดการให้เสร็จสรรพ
นอกจากนี้ยังมีระบบ Cellular Data Switching ที่จะสลับการใช้ Data 4G อัตโนมัติในกรณีที่ซิมหลักเกิดต่อเน็ตไม่ได้ เหมาะกับคนที่ต้องการใช้งานเน็ตอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่ต้องการใช้คุณสมบัตินี้ก็สามารถปิดได้
3D Touch ที่หายไปและแทนที่ด้วย Haptic Touch
3D Touch เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ไม่น้อย เพราะหลายคนก็บอกว่ามันดีมีประโยชน์แต่หลายคนก็บอกว่ามันไร้สาระ โดยหลักการทำงานของ 3D Touch คือตรวจจับน้ำหนักการกดบนหน้าจอเพื่อเรียกใช้คำสั่งที่แตกต่างกัน
แต่อาจเป็นเพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยีหรือเพราะคนไม่นิยมก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ Apple เริ่มเปลี่ยนมาใช้ Haptic Touch ตั้งแต่ iPhone XR ที่ใช้วิธีการกดค้างแทน โดยสิ่งที่ทำได้ก็คล้ายกันเกือบหมดแต่ถ้าเคยชินกับ 3D Touch ก็ต้องปรับตัวกันเล็กน้อย สำหรับผมที่เคยชินกับ 3D Touch ก็ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ตัดทิ้งไป เพราะมันทำให้ใช้งานได้สะดวกกว่ามาก
ตั้งแต่ที่ Apple เปลี่ยนการปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือมาใช้ใบหน้าแทน ก็ถือว่าทำได้แม่นยำและรวดเร็วสำหรับการใช้งานทั่วไป และสิ่งที่รู้สึกได้ในครั้งนี้คือการปลดล็อกที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม แม้จะอยู่ในที่แสงน้อยก็ตาม
ประสิทธิภาพที่เหนือชั้นกับ Apple A13 Bionic
อันที่จริงแล้ว Apple เป็นค่ายที่สร้างชิปเซ็ตและจูนระบบได้ลื่นไหลและใช้จริงรวดเร็วที่สุดมาตลอด จนทำให้คนมองข้ามเรื่องสเปคไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นในช่วง 1-2 ปีหลังก็เริ่มมีผู้ท้าชิงอย่าง HUAWEI Kirin ที่พกนวัตกรรมมามากมายโดยเฉพาะด้าน AI ที่ล้ำกว่าชาวบ้าน รอบนี้ Apple ก็เลยปล่อยของอีกครั้งด้วยชิปเซ็ต Apple A13 Bionic ที่จัดหนักอีกรอบ
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ชิปเซ็ตปัจจุบันของทุกค่ายเร็วเหลือเฟือกันหมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะปรับแต่งรีดประสิทธิภาพออกมาแบบไหน อย่างเช่น HUAWEI ก็จะมีพระเอกคือ GPU Turbo ที่ทำให้เล่นเกมได้เฟรมเรตสูงกว่าฝั่ง Android ด้วยกัน ส่วน Apple ก็จะเน้นประสิทธิภาพโดยรวมที่ลื่นไหลทุกสิ่งอย่าง
Apple ได้นำ Apple A13 Bionic มาช่วยในหลายแง่มุมโดยเฉพาะเรื่องการประมวลผลด้าน AR ที่เดิมทีก็ทำได้ดีกว่าคู่แข่งอยู่แล้วก็ล้ำยิ่งขึ้นไปอีก ทำได้แม่นยำในระดับที่สามารถเอามาเล่นเกมหรือแม้แต่ใช้ในด้านการศึกษาและงานวิศวกรรมได้สบายๆ
นอกจากนี้ยังนำมาใช้ประมวลผลกล้องแต่ละตัวให้โดดเด่นไปอีกขั้น โดยเฉพาะการจูนสีของและปรับองศาของกล้องแต่ละตัวให้ใกล้เคียงกันแบบที่น่าประทับใจมาก
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาจุดอ่อนสำคัญของ iPhone ก็คือกล้อง แม้จะมีแสงสีและเนื้อภาพที่ไว้ใจได้ในระดับที่ถูกใช้โดยผู้กำกับหนังระดับโลก หรือแม้แต่การใช้ถ่ายสารคดีชื่อดัง แต่ก็ยังไม่เร้าใจเท่ากับคู่แข่งที่มาแรงกันทั้งนั้น โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อยหรือใน Indoor ที่ดูด้อยกว่าคู่แข่ง
โดย Apple A13 Bionic เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ช่วยประมวลผล Realtime ได้ดีขึ้น สามารถซูมเสียงในการถ่ายวีดีโอได้ มีการประมวลผลให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นอย่าง Night Mode และที่สำคัญก็คือการจูนสีและการสลับเลนส์แต่ละตัวมีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้การถ่ายรูปหรือคลิปมีความแนบเนียนและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมนูกล้องถูกออกแบบใหม่ให้ปรับแต่งได้ง่ายขึ้น สามารถปรับความละเอียดและ fps ได้ทันที ไม่ต้องเข้าไปหาลึกๆ ในเมนูตั้งค่าของตัวเครื่องแบบที่ผ่านมา และยังปรับสลับอัตราส่วน 4:3, 16:9 และ 1:1 ได้ด้วย การวางตำแหน่งปุ่มซูมยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมซึ่งควบคุมด้วยมือเดียวได้ง่าย
คุณภาพไฟล์ที่ได้นับว่าดีขึ้นกว่า Generation ก่อนหน้านี้มาก โดยเฉพาะในที่แสงน้อยที่เห็นความต่างได้อย่างชัดเจน
การถ่ายรูปในโหมดปรกติแบบที่ยกขึ้นเล็งแล้วถ่ายโดยไม่ต้องคิดเยอะ ก็ให้ผลลัพธ์ที่พัฒนาจากรุ่นก่อนแบบเห็นได้ชัด
สำหรับโหมด Portrait ถ่ายภาพบุคคลก็สว่างสวยกว่าเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนรูรับแสงของเลนส์ Tele ให้กว้างกว่าเดิมและรับแสงได้เยอะขึ้น
ลองทดสอบ Night Mode ก็จะเห็นความต่างกันอย่างชัดเจน โดยทั่วไปแล้วถ้าแสงน้อยเกินไป iPhone 11 Pro Max จะให้เราเปิด Night Mode ที่ 3 วินาที แต่ถ้าต้องการสว่างมากๆ เราก็สามารถตั้งเองได้สูงสุด 10 วินาที โดยการถ่ายโหมดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้ง ลักษณะคล้ายกับ AI Image Stabilization ของ HUAWEI ซึ่งต้องบอกว่าโหมดการถ่ายภาพกลางคืนของ iPhone 11 series ให้ผลลัพธ์คล้ายกับทาง Google Pixel ที่ไม่ได้สว่างจนเปลี่ยนกลางคืนเป็นกลางวัน
การถ่าย Portrait Mode สามารถเลือกระยะได้แล้วว่าจะใช้ 1x หรือ 2x ซึ่งเดิมทีจะถูกบังคับให้ใช้ระยะ 2x เท่านั้น ทำให้สามารถเก็บภาพได้ง่ายขึ้น และผลลัพธ์ในสภาพแสงแบบ Indoor ก็ดูดีกว่าเดิม
เมื่อปรับมุมมองกล้องหน้าให้กว้างขึ้น ก็เก็บบรรยากาศได้มากกว่าเดิมพอตัว ถือว่าในสภาพแสงแบบ Outdoor และ Indoor ทำออกมาได้ดี
สลับมาที่กล้องหน้าในที่แสงน้อยกันบ้าง เมื่อเทียบกับ iPhone XS แล้วความสว่างไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่สีสันต่างกันพอสมควร
โหมดถ่ายภาพบุคคลด้วยกล้องหน้าก็ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน คือไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่ก็ถือว่าดีกว่าเดิม
ทีเด็ดอีกอย่างในแง่ UI/UX ก็คือสิ่งที่เรียกว่า QuickTake ที่ทำให้เราเก็บคลิปช็อตเด็ดได้ทันท่วงทีด้วยการกดค้างที่ปุ่มชัตเตอร์ แล้วการถ่ายภาพนิ่งก็จะเปลี่ยนเป็นการถ่ายวีดีโอแทน โดยจะหยุดการบันทึกคลิปเมื่อปล่อยปุ่มชัตเตอร์ แต่ถ้าอยากจะบันทึกคลิปยาวๆ เลยก็แค่ปัดนิ้วไปด้านข้าง
ระบบกันสั่นวีดีโอถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ในระดับที่ไม่น้อยหน้าคู่แข่ง ทำให้ถ่ายคลิปวีดีโอหรือทำ VLOG ได้ง่ายยิ่งขึ้น บวกกับการวัดแสงสีในโหมดวีดีโอที่ไม่กระโดดไปมา ซึ่งเป็นจุดเด่นของ iPhone มาตลอด ทำให้นำมาตัดต่อได้ง่าย และที่สำคัญก็คือสามารถอัดวีดีโอด้วยความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง นับว่าหาตัวจับได้ยาก (และก็หาเครื่องตัดต่อได้ยากถ้าจะใช้งานอย่างจริงจัง เพราะต้องใช้สเปคที่สูงเอาเรื่อง)
ความดีงามของ Ecosystem อีกอย่างก็คือ เราสามารถใช้ Apple Watch ในการสั่งถ่ายรูปและคลิป โดยสามารถดู Preview ได้จากหน้าจอ Apple Watch ทันที
คำถามที่หลายคนสงสัยก็คือเมื่อเทียบกับค่ายอื่นแล้ว iPhone 11 Pro Max มีกล้องในระดับประมาณไหน ผมเลยลองทดสอบเทียบกับ HUAWEI P30 Pro เล็กน้อย
โดยรวมแล้วทำได้ดีและให้สีเหมือนที่ตาเห็น แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อยมากๆ ระดับ Low Light ก็ยังสู้ HUAWEI ไม่ได้
นอกจากมี App Store รวมถึง Apple Music และ Apple TV แล้ว รอบนี้ยังมาพร้อมกับ Apple Arcade ที่ให้เล่นเกมกันได้แบบไม่จำกัด โดยจ่ายเงิน Subscribe เดือนละ 99 บาท และยังสามารถแชร์กันทั้งครอบครัวได้ด้วย เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ
นอกจากนี้ยังเปิดกว้างกว่าเดิม จากที่เคยรองรับจอยเกมเฉพาะที่ผ่านมาตรฐาน MFi เท่านั้น ตอนนี้ก็รองรับจอยของ PlayStation 4 และ Xbox ด้วย ทำให้การเล่นเกมสนุกยิ่งกว่าเดิม ด้านการประมวลผลต้องบอกว่าลื่นไหลหายห่วง แต่ก็ต้องบอกว่าเกมบน Apple Arcade หลายตัวสูบสเปคใช่เล่น แบบที่ทำเอาเครื่องร้อนได้ง่ายๆ เลย
การยกระดับไม่ได้จบแค่เรื่องกล้องหรือชิปเซ็ต แต่ขยับไปเป็น Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตรฐาน 802.11ax รองรับ MIMO แบบ 2×2 และยังมีทีเด็ดที่เหนือกว่าชาวบ้านด้วยชิป Apple U1 ที่ช่วยบอกทิศทางเพื่อให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่เราหันเข้าหา ทำให้เราส่งข้อมูลผ่าน AirDrop ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่ง Apple บอกว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อหูฟังได้พร้อมกัน 2 คู่ ซึ่งต้องใช้ร่วมกับ AirPods หรือ Beats เท่านั้น ทำให้เราแบ่งปันเพลงกันเพื่อนได้สะดวกกว่าที่เคย
นอกจากจะเปิดกว้างรองรับจอยเกมที่มากกว่า MFi แล้ว ยังปลดล็อกข้อจำกัดอันน่าหงุดหงิดที่มีมานานอย่างการบังคับดาวโหลดแอพที่ขนาดเกิน 200 MB ด้วย Wi-Fi เท่านั้น บน iOS13 ก็สามารถเลือกปลดข้อจำกัดนี้ได้
เพิ่มอิสระในการจัดการไฟล์ทั้งการเชื่อมต่อเข้ากับ Cloud Storage ค่ายอื่นอย่างเช่น Dropbox และ Google Drive ที่ง่ายขึ้น รวมถึงการใช้งานร่วมกับ Flash Drive ที่สะดวกกว่าเดิม และของดีทีเด็ดอย่างแอพ Shortcut ก็ช่วยให้เราสร้างสรรค์ระบบเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ Automatic หรือการเรียกคำสั่งพิเศษ
นี่คือ iPhone ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันน่าใช้แบบที่โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนมาก โดยเฉพาะการอุดจุดอ่อนเรื่องกล้องแบบที่มีดีไม่น้อยหน้าค่ายอื่น เรื่องระบบทั้งหมดทั้งมวลก็มีทั้ง App Store, Apple Music, Apple TV และ Apple Arcade ไว้ให้บริการ รวมถึง Ecosystem ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ก็ทำให้น่าใช้ยิ่งขึ้นไปอีก จึงไม่แปลกใจที่ iPhone 11 series จะกลับมาสร้างความคึกคักจนสาวกมาต่อแถวรอซื้อกันอีกครั้ง
Write a Comment