รีวิว iPhone 12 ดีไซน์ใหม่ จอสวย ถ่ายกลางคืนดีขึ้น วิดีโอเทพ แบตหมดเร็วจริงหรือ?
วันนี้ทางทีมงาน MacThai จะมารีวิว iPhone 12 แบบละเอียด ให้เพื่อนๆได้อ่านเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบการตัดสินใจในการซื้อ iPhone 12 กันนะครับ โดย iPhone 12 ที่ทีมงาน MacThai ได้มานั้นเป็นสีแดง (PRODUCT)RED ความจุ 128GB เครื่องฮ่องกง ( เครื่องศูนย์ไทยยังไม่มีขาย ณ ตอนนี้ 17 พฤศจิกายน 2020 วันที่เขียนรีวิว ) ซึ่งอุปกรณ์ภายในกล่อง และอื่นๆอาจจะไม่เหมือนกัน ส่วนเครื่องศูนย์ไทยจะเริ่มขายในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2020 นี้ ถ้าเพื่อนๆพร้อมที่จะดูรีวิว iPhone 12 กันแล้ว ไปดูกันเลยครับ!
iPhone 12 นั้นมาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่หมด ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 6 ปี ของ iPhone จากที่ Apple ได้เลือกใช้ดีไซน์แบบ iPhone 6 ตั้งแต่ปี 2014 – 2020 ดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่นี้จะเหมือนกับสมัย iPhone 4 และ iPhone 5 ซึ่งโดยส่วนตัวค่อนข้างที่จะชอบดีไซน์ตัวเครื่องแบบนี้มากๆ ถึงจะดูเหมือนย้อนไปสมัย iPhone 4 ก็ตาม ซึ่ง iPhone 12 นั้นได้เปลี่ยนไปใช้ดีไซน์แบบใหม่จึงทำให้มีขนาดที่บางลงเหลือเพียง 7.4 มม. จากเดิมบน iPhone 11 ที่หนาถึง 8.3 มม. ตัวเครื่องบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่จะงอง่ายเหมือน iPad Pro หรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจครับ ส่วนเรื่องนำ้หนักก็เบากว่า iPhone 11 อีกด้วยจาก 194 กรัม เหลือเพียง 162 กรัม พอได้จับจะรู้สึกได้เลยว่าตัวเครื่องเบากว่ามากๆ เวลาจับตัวเครื่องจะรู้สึกว่าตัวเครื่องนั้นเข้ามือกว่า iPhone 11 โดยตัว iPhone 12 นั้นจะใช้ดีไซน์ตัวเครื่องแบบกระจก และอะลูมิเนียมเกรดเดียวกันกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ! แบบเดี๋ยวกันกับ iPhone 11
ซึ่งทางทีมงาน MacThai เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆคนคงถามเกี่ยวกับดีไซน์แบบใหม่บน iPhone 12 ว่าแล้วตกลงเนี่ยตัวเครื่องมันคมจริงๆเหมือนกับที่เป็นข่าวในตอนนี้หรือเปล่า? คำตอบคือ ไม่ได้คมจนทำให้เลือดออกได้ครับ แต่อาจเกิดรอยแดงๆได้นิดหน่อยครับ โดยทางทีมงาน MacThai ไม่แนะนำให้เพื่อนๆไปถูเล่นบริเวณปุ่มเพิ่มเสียง ลดเสียง และปุ่มด้านข้างเพราะค่อนข้างที่จะคมกว่ากรอบเครื่อง แต่ทางทีมงาน MacThai เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปครับ เพราะเมื่อเราใส่เคสทุกอย่างก็จะจบครับ
iPhone 12 ในปีนี้ได้เปลี่ยนไปใช้หน้าจอแบบ Super Retina XDR เป็นจอ OLED แบบเดียวกันกับ iPhone รุ่น Pro เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ทนใช้หน้าจอแบบ Liquid Retina HD เป็นจอ LCD ตั้งแต่ iPhone XR จนถึง iPhone 11 โดยข้อดีของจอ OLED คือจะทำให้แสดงสีดำได้ดำสนิท แสดงสีสันต่างๆได้สมจริงกว่า และทำให้ขอบจอบางลงกว่า ซึ่ง iPhone 12 ในปีนี้มีขอบจอที่บางกว่า iPhone 11 Pro อีกด้วย โดย iPhone 12 นั้นมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว เท่า iPhone 11 แต่มีขนาดเครื่องที่เล็กกว่า iPhone 11 ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ที่ 460 ppi ส่วนอัตราส่วน คอนทราสต์ iPhone 12 ให้มาที่ 2,000,000:1 ซึ่งเยอะกว่า iPhone 11 ที่ให้อัตราส่วน คอนทราสต์มาที่ 1400:1 มีการใส่จอภาพ HDR เข้ามาจึงทำ iPhone 12 นั้นรองรับการเล่นไฟล์ HDR ในแบบ Dolby Vision , HDR10 และ HLG แค่เรื่องหน้าจอ iPhone 12 ก็กิน iPhone 11 ขาดแล้วครับ โดยส่วนตัวที่ใช้งาน iPhone 11 อยู่ แล้วได้มาใช้งาน iPhone 12 ในวันนี้ กับพบว่าหน้าจอดีกว่า iPhone 11 อย่างเห็นได้ชัด แสดงสีสันได้ดีกว่ามากๆ โดย iPhone 12 นั้นให้ความสว่างสูงสุดทั่วไปมาที่ 625 นิต และให้ความสว่าง HDR สูงสุดที่ 1,200 นิต ซึ่งความสว่างสูงสุดทั่วไปบน iPhone 12 Pro นั้นให้มาถึง 800 นิต ซึ่งมากว่า iPhone 12 ที่ให้มา 625 นิต หลังจากที่ได้ทำการทดสอบในที่กลางแจ้งกับพบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่ ส่วนความสว่าง HDR สูงสุดนั้นให้มาที่ 1,200 นิต เท่ากัน
โดยหน้าจอ iPhone 12 นั้นได้มีการใส่ Ceramic Shield เข้าไปด้วยจึงทำให้ทนต่อการตกกระแทกได้ดีกว่าถึง 4 เท่า ซึ่งทางต่างประเทศได้มีการทดสอบกันไปแล้ว ก็พบว่า iPhone 12 นั้นมีหน้าจอที่แข็งแรง , ทนต่อการตกกระแทก และรอยขีดข่วนได้ดีกว่า iPhone รุ่นที่ผ่านๆมาจริง แต่ก็ยังสามารถแตก และเป็นรอยขีดข่วนได้อยู่ดีนะครับ ควรหาฟิลม์มาติด และหาเคสมาใส่ เพราะค่าเปลี่ยหน้าจอในปีนี้มีหลักหมื่นแน่ๆครับ แต่ถ้าใครที่ออกสายลุยๆที่ไม่ใส่เคส ไม่ติดฟิลม์ ก็แนะนำให้ซื้อ AppleCare+ ติดกันเอาไว้ด้วยนะครับ
iPhone 12 นั้นยังให้จอ 60Hz มาเท่าเดิม ยังไม่ใส่จอ 120Hz มาให้ ซึ่งน่าเสียดายมากๆที่ iPhone รุ่นนี้ยังไม่ให้อัตรารีเฟรชเรทที่ 120Hz หรือเทคโนโลยี ProMotion แบบเดียวกันกับที่ใช้งานบน iPad Pro มาให้ iPhone 12 แต่ด้วยความที่เราอาจจะคุ้นชินกับการใช้ iPhone เลยไม่ทำให้รู้สึกว่าการที่ Apple ให้หน้าจอ 60Hz มา ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อการใช้งาน แต่ด้วยราคาระดับนี้ Apple ก็ควรใส่จอ 120Hz มาให้ผู้บริโภคใช้งานได้แล้ว แต่ก็เข้าใจในส่วนนึงที่ Apple ยังไม่ใส่จอ 120Hz มาให้ iPhone 12 เพราะตัว iPhone 12 นั้นยังคงมีแบตเตอรี่ที่ไม่อึดเท่า iPhone 11 ยิ่งถ้าใส่จอ 120Hz มาแบตเตอรี่น่าจะลดเร็วยิ่งกว่านี้อีก
iPhone 12 นั้น ได้ขุมพลังตัวใหม่อย่าง A14 Bionic ขนาด 5 นาโนเมตร มาช่วยในการประมวลในด้านต่างๆ ซึ่งชิพ A14 Bionic นั้นเป็นชิพตัวแรกบนสมาร์ทโฟนที่มีขนาดเล็กเพียง 5 นาโนเมตร ซึ่งจากการใช้งานแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากชิพ A13 Bionic ขนาด 7 นาโนเมตร ที่อยู่บน iPhone 11 มากเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งที่จะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือเวลาเราเล่นเกมตัวเครื่องจะมีอาการอุ่นๆ ไม่ร้อนจี๋เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว และเรื่องกล้อง หลายคนคงสงสัยแล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับชิพ A14 Bionic ซึ่งเกี่ยวกันครับ ถ้าชิพยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ตัวเครื่องนั้นมีการปลดล็อคความสามารถใหม่ๆของกล้องได้เยอะขึ้น อย่างเช่น iPhone 12 นั้นได้มีการใส่ Night Mode มาให้ทุกเลนส์ , มีการใส่ Deep Fusion มาให้ทุกเลนส์ , มีการใส่ Smart HDR รุ่นที่ 3 เข้ามา และอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชิพต้องมีความเร็ว และแรงมากๆ จึงจะทำให้ทุกๆอย่างจบได้เพียงแค่หลังจากการกดชัตเตอร์
แต่น่าเสียดายดูเหมือนว่าตัวชิพ A14 Bionic จะไม่ได้เข้ามาช่วยจัดการพลังงานให้ iPhone 12 มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นกว่าเดิมเลย แถมยังแย่กว่า iPhone 11 ด้วยซ้ำ โดยส่วนตัวหวังว่าในอนาคต Apple จะออกมาอัพเดต iOS ในเวอร์ชั่นถัดๆไปเพื่อมาแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ
หลังจากที่ได้ทดลองใช้งาน iPhone 12 ในการใช้ Apple Arcade , Apple Music , Netflix , AppleTV+ , YouTube , Google , Facebook , Instagram , Twitter , Line , Mail , Messenger , iMessage , โทรศัพท์ , FaceTime , ถ่ายรูป และถ่ายวิดีโอ บน 4G และ Wi-Fi พบว่าการใช้แบตเตอรี่จาก 100% – 0%
ซึ่งจากการทดสอบพบว่าถ้าหากเราใช้งาน iPhone 12 ในการใช้งานทั่วไป นั้นเพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วันแน่นอนครับ
แต่พอมาเล่นเกมอย่าง PUBG ( ตั้งค่าทุกอย่างสุดหมดเท่าที่จะทำได้ ) หลังจากจบเกมในตาแรก พบว่าแบตลดลงจาก 100% เหลือ 76% ใช้เวลาในการเล่นไป 32 นาที พอเล่นไปได้ครบอีก 6 รอบ แบตเตอรี่จาก 100% เหลือเพียง 16% ใช้เวลาการเล่นรวมไป 2 ชั่วโมง 43 นาที แต่พอเล่นต่อยังไม่ทันจะจบเกมกับพบว่าแบตเตอรี่เหลือ 0% ในเวลา 3 ชั่วโมง 01 นาที ซึ่งหมดเร็วกว่า iPhone 11 ได้ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ iPhone 12 นั้นมีอาการเครื่องอุ่นๆ แต่ยังคงความอุ่นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ไม่เหมือน iPhone 11 ที่ตัวเครื่องนั้นจะค่อยๆร้อน ไปจนถึงร้อนจี๋
ถ้าเล่นเกมพวกกราฟฟิกหนักๆขอยืนยันเลยว่า iPhone 12 นั้นแบตเตอรี่หมดเร็วกว่า iPhone 11 ที่เล่นเกมเดียวกัน แต่ถ้าใช้งานทั่วไป จากที่ได้ทำการทดสอบค่อนข้างที่จะเพียงพอต่อการใช้งาน ( แต่ก็ควรพก Power Bank ด้วยจะดีที่สุด ) ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ iPhone 12 หมดเร็วกว่า iPhone 11 ก็น่าจะมากการอัพเกรดหน้าจอจาก LCD ให้กลายเป็น OLED และลดขนาดแบตเตอรี่ลงให้เหลือเพียง 2,815 mAh ต้องรอทดสอบตอนใช้งานบนคลื่น 5G กันอีกทีนึงครับว่าแบตจะหมดเร็วขนาดไหน ( 5G บน iPhone 12 ยังไม่สามารถใช้งานในประเทศไทยได้ในตอนนี้ อัพเดต 17 พฤศจิกายน 2020 )
โดยในอนาคตหวังว่าทาง Apple เองจะออกมาอัพเดต iOS เวอร์ชั่นใหม่ เพื่อให้ตัวซอฟต์แวร์มาดึงประสิทธิภาพของชิพ A14 Bionic ให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่านี้เพื่อแก้ไขปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็ว!
iPhone 12 มาพร้อมกับระบบกล้องคู่ ประกอบไปด้วยเลนส์ไวด์ ขนาด 12 ล้านพิกเซลมีรูรับแสงขนาด f/1.6 มีขนาดรูรับแสงที่ใหญ่กว่า iPhone 11 ที่ให้รูรับแสงขนาด f/1.8 จึงทำให้ iPhone 12 นั้นเก็บรายละเอียดในที่ ที่มีแสงน้อยได้ดีกว่า และเลนส์อัลตร้าไวด์ ขนาด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด f/2.4
Apple ได้ชูจุดเด่นกล้องหลัง iPhone 12 ในเรื่องของการถ่าย Night Mode ที่ดีขึ้น เพราะ iPhone 12 นั้นสามารถเก็บแสงได้มากขึ้นถึง 27% เมื่อเทียบกับ iPhone 11 และยังสามารถถ่าย Night Mode ได้ทุกเลนส์อีกด้วย แต่จากการที่ได้ทดลองใช้งานกับพบว่า iPhone 12 ตัวเลนส์ไวด์นั้นสามารถถ่ายในที่มีแสงน้อยได้ดีกว่า iPhone 11 เพียงเล็กน้อย ไม่ค่อยแตกต่างกันมาก แต่สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเลยคือนอยซ์ที่น้อยกว่า iPhone 11 และการเก็บรายละเอียดต่างได้ดีกว่า แต่ข้อดีของ iPhone 12 คือการรองรับการถ่าย Night Mode ที่เลนส์อัลตร้าไวด์ แต่ก็ยังไม่ดีเท่าเลนส์ไวด์
ส่วนในด้านการถ่ายภาพในที่มีแสง iPhone 12 นั้นสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆได้ดีขึ้นมากกว่า iPhone 11 อย่างเห็นได้ชัด อาการติดเหลืองยังมีบ้าง แต่ถือว่าน้อยกว่า iPhone 11 ที่ถ่ายที่ไรแทบจะติดเหลืองตลอด โดยกล้องหลัง iPhone 12 นั้นยังมาพร้อมกับ Smart HDR รุ่น 3 และ Deep Fusion ในทุกเลนส์ทำให้เวลาที่เราถ่ายรูปในที่ที่ย้อนแสงยังคงเก็บรายละเอียดต่างๆได้ดีกว่า iPhone 11 มากๆ
ส่วนโหมดภาพถ่ายส่วนบุคคลยังพบว่า iPhone 12 นั้นยังถ่ายรูปแล้วหลอดหายเหมือนเดิม แต่เมื่อมาถ่ายคนกลับพบว่า iPhone 12 นั้นตัดขอบต่างๆได้ดีกว่า iPhone 11 แถมยังถ่ายภาพออกมาได้โทนสีที่ดีกว่า iPhone 11 และในที่สุดการเบลอฉากหลังตรงที่มีแสงก็เป็นวงกลม เหมือนกล้องใหญ่แล้วครับ!
กล้องหน้า iPhone 12 เวลาที่เราถ่ายในที่ที่มีแสงเพียงพอ สามารถถ่ายออกมาได้ดีกว่า iPhone รุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด เก็บรายละเอียดต่างๆได้ดีขึ้น คาดว่าน่าจะใช้ Smart HDR รุ่นที่ 3 และ Deep Fusion เข้ามาช่วยในการถ่าย จึงทำให้รูปภาพที่ได้นั้นออกมาสวย ดูดีกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้มากๆ
โดยกล้องหน้า iPhone 12 นั้นยังรองรับการถ่าย Night Mode อีกด้วย ซึ่งทำให้การถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยทำได้ดีกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ อย่างเห็นได้ชัดเก็บรายละเอียดต่างๆได้ดีกว่า รูปภาพที่ได้ออกมานั้นคมชัด มีนอยซ์ลดลง ถ่ายออกมาได้ดีขึ้นในระดับนึง แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ส่วน Portrait กล้องหน้านั้น เวลาที่เราถ่ายในที่ที่มีแสงเพียงพอทำออกมาได้ดีกว่า iPhone รุ่นก่อนมากๆ ตัดขอบได้ดียิ่งขึ้น อาจมีบ้างในบางรูปที่ยังตัดขอบได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่อาจจะเป็นเพราะแสงด้วย การเก็บรายละเอียดต่างๆทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากๆคาดว่าน่าจะใช้ Smart HDR รุ่นที่ 3 และ Deep Fusion เข้ามาช่วยในการถ่าย โดยรวมแล้วกล้องหน้า iPhone 12 เวลาที่เราถ่ายในที่ที่มีแสงด้วย Portrait Mode ตัวกล้องสามารถถ่ายออกมาได้ค่อนข้างน่าพึงพอใจกว่ารุ่นก่อนๆในระดับที่ดีเลยที่เดียว ถ่ายออกมาแล้วไม่พังเหมือนรุ่นก่อนๆแน่นอนครับ
แต่เมื่อนำกล้องหน้า iPhone 12 มาถ่าย Portrait ในที่ที่มีสภาวะแสงน้อย ปรากฎว่าก็ทำออกมาได้ดีกว่า iPhone รุ่นก่อนจริง เก็บแสง และรายละเอียดต่างๆของรูปภาพได้ดีมากยิ่งขึ้น การตัดขอบดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ่ายออกแล้วดูดีกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังถ่ายออกมาได้ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ยังมีนอยซ์ที่เยอะมากๆ รูปภาพมีอาการเบลอค่อนข้างที่จะเยอะ แต่โดยรวมถือว่าถ่ายได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่าจริง ถ่ายออกมาแล้วดูดีกว่ารุ่นก่อน
iPhone 12 นั้นรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K HDR แบบ Doldy Vision สูงสุดที่ 30 fps ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง ซึ่งจาการทดสอบคือถ่ายออกมาได้ดีมากๆ คุณภาพวิดีโอที่ได้นั้นดีกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด โดยวิดีโอที่ได้จะมีความสว่างกว่า iPhone รุ่นก่อนๆพอสมควร สามารถเก็บแสงสี และรายละเอียดต่างๆได้ดีขึ้น และยังถ่ายวิดีโอได้คมชัดกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
โดย iPhone 12 นั้นยังสามารถถ่ายวิดีโอในที่ที่มีแสงน้อยได้ดีขึ้นกว่า iPhone รุ่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด มีนอยซ์ที่ลดลงเห็นได้อย่างชัดเจน วิดีโอที่ได้สว่างกว่ารุ่นก่อนๆ เก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น
โดยวันที่เราได้ทำการทดสอบเทคโนโลยี 5G บน iPhone 12 นั้นปรากฎว่าในประเทศไทย iPhone 12 นั้นยังไม่รองรับการใช้งาน 5G คาดว่าน่าจะเปิดให้ใช้เทคโนโลยี 5G หลัง iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นเปิดขายในประเทศไทย ถ้าใช้งานเทคโนโลยี 5G ได้เมื่อไหร่จะรีบมารีวิวให้เพื่อนๆได้ดูกันนะครับ
ส่วนอุปกรณ์เสริม MagSafe ในตอนนี้ทางทีมงาน MacThai ยังไม่สามารถหาซื้ออุปกรณ์เสริม MagSafe ได้ในตอนนี้ถ้าหาซื้อได้เมื่อไหร่ จะรีบนำมารีวิวให้เพื่อนๆได้ดูกันแน่นอนครับ
• แบตเตอรี่ ซึ่งทำได้แย่กว่า iPhone 11 เมื่อเราเล่นเกมกราฟิกหนักๆ แต่ถ้าใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้ทั้งวันแน่นอน
• การที่ไม่ใส่หัวชาร์จมาให้ในกล่อง ถ้า iPhone รุ่นเก่าใส่หัวชาร์จแบบ USB-C มาให้ในกล่องแล้วอย่างน้อยสัก 2 – 3 ปี อันนี้ถ้า Apple จะตัดออกถือว่าโอเคมากๆ แต่นี้ Apple ใส่มาให้แค่ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max แค่ 2 รุ่นนี้ แต่รุ่นๆอื่นๆก่อนหน้านี้กับใส่แต่หัวชาร์จแบบ USB-A มาให้ในกล่องตลอด ก็ต้องไปซื้อมาเพิ่มอยู่ดีเพราะไม่สามารถเสียบได้ ซึ่งหัวชาร์จ 20 วัตต์ จะมีราคาอยู่ที่ 690 บาท
• การที่ Apple ยังไม่เปลี่ยนไปใช้ USB-C ถ้า Apple ต้องการที่จะรักโลกจริงๆก็ควรเปลี่ยนไปใช้ USB-C มากกว่า Lighting เพราะมันสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้ง่ายกว่า ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วกว่า และถือว่าเป็นการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่นั้นเปลี่ยนไปใช้ USB-C กันเกือบหมดแล้ว
ถ้าใครกำลังหาโทรศัพท์มือถือที่รองรับ 5G ที่ต้องการจะใช้งานไปยาวๆ iPhone 12 ก็ยังเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจที่ดีอยู่ครับ ถึงแบตเตอรี่จะไม่อึดเท่า iPhone 11 ไม่มีจอ 120Hz แต่ก็ยังมีข้อดีในหลายๆส่วนที่พอมาหักลบกันแล้วก็ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G อีก 1 เครื่องที่น่าสนใจมากๆเลยครับ ส่วนใครที่ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าที่ต่ำกว่า iPhone X เป้นต้นถ้าตัวเครื่องเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีแล้ว iPhone 12 อาจจะเป้นตัวเลือกที่ดีสำหรับการอัพเกรดครับ แต่ถ้า iPhone XS และ iPhone 11 เป็นต้นไปแนะนำว่ายังไม่จำเป็นต้องอัพเกรดครับ
โดย Apple จะเปิดขาย iPhone 12 , iPhone 12 mini , iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ในประเทศไทยในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2020 นี้ ที่ร้าน Apple Central World , Apple Iconsiam , ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศ โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท ไปจนถึง 51,900 บาท และ จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าที่ Apple Online Store ประเทศไทย และตัวแทนจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2020 ตั้งแต่เวลา 00:01 น.
Write a Comment