รีวิว iPhone 13 Pro Max พี่ใหญ่มาเต็มด้วยกล้องเซนเซอร์ใหญ่ขึ้น และหน้าจอ ProMotion 120Hz

iPhone 13 Pro Max พี่ใหญ่สุดของ iPhone 13 Series แน่นอนว่าความโดดเด่นกว่าใครคือหน้าจอแสดงผลสุดกว้างถึง 6.7 นิ้ว และฟีเจอร์เด่นๆ ที่หาได้เฉพาะ iPhone 13 Pro กับ iPhone 13 Pro Max ไม่ว่าจะเป็น หน้าจออัตรา Refresh Rate หรือเทคโนโลยี ProMotion สูงสุด 120Hz กล้องหลัง 3 เลนส์ ที่มีเซนเซอร์ใหญ่ขึ้นรับแสงได้มากขึ้น ส่วนแบตเตอรี่ของ iPhone 13 Pro Max ก็มีความอึดขึ้น 2.5 ชั่วโมง ซึ่งราคาก็จะเริ่มต้นอยู่ที่ 42,900 บาท

รอบตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นอื่นๆ ในซีรี่ย์ ดีไซน์เป็นแบบขอบเหลี่ยม โดยมีขนาดอยู่ที่ 160.8 × 78.1 × 7.65 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 238 กรัม ถือว่าเป็นขนาดใหญ่ และน้ำหนักเยอะพอสมควร ใครที่มือเล็กอาจจับใช้งานได้ไม่ค่อยถนัด

เหนือหน้าจอแสดงผล iPhone 13 Pro Max ยังคงใช้ดีไซน์รอยแหว่ง แต่มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนๆ ในนั้นมีกล้องหน้า ความละเอียด 12MP และเซนเซอร์ TrueDepth เพื่อการใช้งาน FaceID ทั้งนี้ตรงขอบหน้าจอด้านบนยังมีลำโพง Stereo และไมโครโฟน

ข้างซ้ายตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max บนสุดเป็นปุ่ม Toggle เพื่อสลับโหมดเสียง (ปรับเปลี่ยนได้ภายหลัง) ถัดลงมาเป็นปุ่มเพิ่มเสียง และลดเสียง ล่างสุดคือช่องใส่ถาดซิมการ์ด โดยถาดเป็นแบบ Nano SIM 1 ช่อง ส่วนอีกซิมเป็นรูปแบบ eSIM

ข้างขวาตัวเครื่อง เป็นปุ่มพักหน้าจอแสดงผล หรือเรียกใช้งาน Siri ด้วยการกดค้าง

ส่วนบนตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max ไม่มีพอร์ต หรือปุ่มการใช้งานใดๆ

ฝาหลังตัวเครื่อง iPhone 13 Pro Max มีกล้องหลัง 3 เลนส์, เซนเซอร์ LiDAR, ไฟแฟลช, รูไมโครโฟน จัดวางอยู่บนโมดูลสี่เหลี่ยม นอกจากนี้เลนส์ Ultra-Wide ยังมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะใช้เซนเซอร์ใหม่ สุดท้ายเป็นโลโก้ Apple อยู่ที่ตรงกลางฝาหลัง

ระบบปฏิบัติการ

iPhone 13 Pro Max จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 15 ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่มาพร้อมฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นใหม่ๆ มากมาย และยังมีการทำงานที่รวดเร็วมากขึ้น

หน้าจอหลัก

หน้าจอหลักยังเหมือน iOS รุ่นก่อนๆ โดยยังมีไอคอนแอพฯ เป็นแบบสี่เหลี่ยมขอบมน มีแถบรวมแอพฯ อยู่หน้าสุดท้าย และแอพฯ ทั้งหมดที่ดาวน์โหลดเพิ่มมาจะอยู่ในหน้าจอหลักทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถดูการแจ้งเตือน และ Control Center ด้วยการปัดหน้าจอด้านบนลง

Wallpaper และ Widget

Widget ยังสามารถเพิ่มได้ในหน้าจอหลัก ด้วยการกดค้างในพื้นที่วางของหน้าจอหลัก และกดเครื่องหมาย + ทางมุมบนซ้าย ส่วน Wallpaper ก็ไปปรับเปลี่ยนได้ที่ การตั้งค่า > Wallpaper ซึ่ง iOS 15 จะมี Wallpaper ใหม่เพิ่มเข้ามาทั้งแบบนิ่ง และแบบ Live

การแจ้งเตือน

iOS 15 จะมีการปรับปรุงในส่วน การแจ้งเตือน ซึ่งมีการแสดงไอคอนแอพฯ และรูปภาพของผู้ติดต่อ และจัดลำดับพร้อมสรุปการแจ้งเตือนให้เหมาะกับผู้ใช้งาน

โหมดมืด

เพื่อการใช้งานในที่แสงน้อยได้อย่างสบายตา iPhone 13 Pro Max ก็ยังคงมีโหมดมืด มาให้ใช้งาน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนธีมเป็นสีดำ และใช้ตัวหนังสือสีขาว ทั้งนี้ยังเป็นการประหยัดแบตเตอรี่ในตัว เพราะหน้าจอของ iPhone 13 Pro Max เป็นพาแนล OLED

โหมดโฟกัส

iOS 15 จะมาพร้อมโหมดโฟกัส ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมีสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะมีการปิดการแจ้งเตือน หรืออนุญาตให้แจ้งเตือนเฉพาะที่ต้องการเท่านั้น โดยโหมดโฟกัสจะมีให้เลือก 4 แบบคือ ห้ามรบกวน, ส่วนบุคคล, ทำงาน, และนอนหลับ

ข้อความในภาพ

ความว้าวของ iOS 15 ยังไม่หมด เพราะมาพร้อมฟังก์ชั่น ข้อความในภาพ ช่วยให้ผู้ใช้งาน ก็อปปี้ข้อความจากในภาพได้ทันที หรือจะใช้แปลภาษาจากข้อความในภาพก็ได้เช่นกัน แต่เบื้องต้นจะใช้ได้ 7 ภาษาคือ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน โปรตุเกส และสเปน ซึ่งผู้ใช้งานต้องปรับภาษาของเครื่องเป็นภาษาเหล่านี้จึงจะใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้ (แนะนำให้ปรับเป็นภาษาอังกฤษ)

Memoji เลือกเสื้อผ้าได้

Memoji มีให้เลือกปรับแต่งหลากหลายมากขึ้น และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ การเลือกเสื้อผ้าให้ตัว Memoji เพื่อเพิ่มความสนุก และความหลากหลายมากขึ้น

ตัวเครื่องใหญ่ขอบแบน พร้อมวัสดุแข็งแกร่ง

iPhone 13 Pro Max นอกจากตัวเครื่องจะดูเก๋ๆ ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องแบบเหลี่ยมขอบแบน ตัวขอบเองยังมีความแข็งแกร่งระดับสูง และดูเงาสวยงาม เนื่องจากใช้วัสดุสเตนเลสสตีลเกรดเดียวกับเครื่องมือศัลยกรรม และตัวเครื่องใช้วัสดุกระจก Ceramic Shield ซึ่งมีความทนทานระดับสูง หาไม่ได้ง่ายๆ บนสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน

หน้าจอ Super Retina XDR สดใหม่ด้วย ProMotion 120Hz

หน้าจอแสดงผลเป็นอีกความโดดเด่นของ iPhone 13 Pro Max เพราะมีความกว้างถึง 6.7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา iPhone 13 Series และแน่นอนว่าเป็นหน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED ความละเอียด 2778x1284 พิกเซล ทำให้การแสดงผลมีความคมชัด และแสดงสีสันได้ความชัดเจน พร้อมกับปรับความสว่างได้สูงขึ้นถึง 1,200nits ในการใช้งาน HDR

แต่สิ่งที่ชวนว้าว และไม่มีใน iPhone ก่อนหน้าเลยคือ เทคโนโลยี ProMotion หรืออัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz ทำให้หน้าจอมีการแสดงผลที่ลื่นขึ้น สัมผัสหรือขยับอะไรในหน้าจอก็ดูลื่นเป็นพิเศษ โดย ProMotion จะทำงานให้แบบอัตโนมัติ มีการปรับค่า Refresh Rate ให้ตามความเหมาะสมในการใช้งาน อย่างเช่นเล่นเกม จะปรับเป็น 120Hz เพื่อให้เล่นเกมได้ Smooth หรือใช้งานทั่วไปก็จะลดลงมาเหลือลงมา ใช้ไม่ถึง 120Hz เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานไปในตัว

ชิปเซ็ต A15 Bionic

A15 Bionic เป็นชิปเซ็ตใหม่ล่าสุดที่ใช้ใน iPhone 13 Series ทุกรุ่น โดยความแรงแทบไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเรื่องของชิปเซ็ตเป็นจุดเด่นของ iPhone ในทุกๆ รุ่นอยู่แล้ว ซึ่ง A15 Bionic ก็มีความรวดเร็ว และฉลาดมากขึ้น ด้วย CPU แบบ 6 Core ชิปกราฟฟิก GPU แบบ 5-Core และ Neural Engine แบบ 16-Core แบบใหม่ทั้งหมด ทำให้การใช้งานพื้นฐาน, เล่นเกม หรือแม้แต่การใช้งานกล้องถ่ายรูป ชิปเซ็ต A15 Bionic ก็เป็นหัวใจหลักในการทำงานทั้งหมด เป็นไปอย่างราบรื่น และลื่นมากกว่ารุ่นก่อนๆ ทั้งหมด

ทดสอบการเล่นเกม

iPhone 13 Pro Max การเล่นเกมแทบไม่มีปัญหา เล่นได้แบบลื่นๆ ด้วยความเร็วของชิปเซ็ต A15 Bionic ที่มีการประมวลผล และแสดงกราฟฟิกได้อย่างสวยงาม ซึ่งเกมปรากเซียนอย่าง Genshin Impact ก็สามารถปรับกราฟฟิกที่ระดับสูง พร้อมรันเฟรมเรตได้สูงถึง 60fps แบบที่เครื่องไม่ดึงจนเกินไป แต่เรื่องความร้อนสะสมยังเป็นปัญหาอยู่ หากใช้เล่นเกมเป็นเวลานานๆ และปรับกราฟฟิกในระดับสูงๆ

• PUBG Mobile : เกม PUBG Mobile สามารถเล่นบนกราฟฟิกสูงสุดถึงระดับ Ultra HD พร้อมดันเฟรมเรตไปที่ Ultra ได้ ซึ่งเล่นได้แบบลื่นๆ ไม่มีปัญหา

• Genshin Impact : นี้คือเกมปราบเซียนแต่ iPhone 13 Pro Max ก็เอาอยู่ ซึ่งสามารถปรับเฟรมเรตได้สูงสุดถึง 60Hz และ 120Hz ในกราฟฟิกระดับสูง แต่หากจะให้เล่นได้ดี ไม่ดูตึงเครื่องจนเกินไป ก็แนะนำให้ปรับเป็นแบบปกติ เฟรมเรต 30fps จะดีกว่า

รองรับสัญญาณ 5G

การรับสัญญาณ 5G ของ iPhone 13 Pro Max จะมีความพิเศษกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ เพราะมีระบบการรับ และใช้ความเร็วอย่างเหมาะกับการใช้งานในขณะนั้น เพื่อไม่ใช้งานแบตเตอรี่มากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีย่านความถี่ 5G ที่ครอบคลุม ทำให้รับสัญญาณ 5G ได้หลายพื้นที่

FaceID

ระบบสแกนใบหน้า หรือ FaceID ยังคงมีการทำงานที่รวดเร็ว และแม่นยำ และยิ่งกล้อง TrueDepth ได้ทำงานร่วมกับชิปเซ็ตอย่าง A15 Bionic ก็ช่วยให้มีการประมวลผลที่รวดเร็ว และเสถียรมากขึ้น

แบตเตอรี่อึดขึ้น 2.5 ชั่วโมง เทียบกับรุ่นก่อน

iPhone 13 Pro Max จะเป็นรุ่นที่มีแบตเตอรี่อึดที่สุดในบรรดา iPhone 13 Series และยังใช้งานได้นานขึ้นถึง 2.5 ชั่วโมง หากเทียบกับ iPhone 12 Pro Max นอกจากนี้ยังสนับสนุนการชาร์จผ่านสาย 20W ชาร์จไร้ทั้งแบบ MagSafe 15W และไร้สายแบบ Qi 7.5W

การใช้งานกล้องถ่ายรูป

กล้องหลังของ iPhone 13 Pro Max ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เอาจริงๆ มีการอัปเกรดทั้งด้านฮาร์ดแวร์ เซนเซอร์ ซอฟแวร์ และความฉลาดของชิปเซ็ต A15 Bionic ทำให้การถ่ายรูปออกมาดูดีมากขึ้นทั้งตอนกลางวัน และกลางคืน รวมไปถึงระบบ Auto Focus ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ โดยกล้องหลังติดตั้งมาด้วยกัน 3 เลนส์ เป็นเลนส์ Wide, Ultra-Wide, Telephoto ความละเอียดทั้งหมด 12MP และเซนเซอร์ LiDAR ส่วนกล้องหน้า หรือกล้อง TrueDepth ก็ยังมีความละเอียด 12MP

การถ่ายภาพปกติ

การถ่ายภาพปกติจะเป็นตามที่ Apple ต้องการ โดยเน้นให้ผู้ใช้งานถ่ายรูปได้ง่ายๆ ภาพออกมาสวยๆ ด้วยการกดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว ซึ่งระบบจะมีการปรับแต่งรูป หรือสลับโหมดการใช้งานให้แบบอัตโนมัติ อย่างเช่นเข้าสู่โหมดมืดเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย เปิดใช้งาน HDR เมื่ออยู่ในสภาวะน้อยแสง หรือใช้เทคโนโลยี Deep Fusion เมื่ออยู่ในสภาพแสงปานกลาง

สไตล์ภาพถ่าย

สไตล์ภาพถ่าย เป็นโหมดที่มีการทำงานคล้ายๆ การเปลี่ยนฟิลเตอร์ แต่จะมีความฉลาดมากกว่า เพราะช่วยลดแสงสีแต่ยังเก็บความเป็นธรรมชาติของนาย/นางแบบได้อย่างสวยงาม โดยมีให้เลือก 5 แบบ Standard , Rich Contrast , Vibrant , Warm และ Cool สามารถเลื่อนปรับโทนได้ตามใจชอบ ใครชอบโทนไหนก็ปัดหน้าจอเลื่อนได้เลย

โหมดมุมกว้าง

iPhone 13 Pro Max มาพร้อมเลนส์ Ultra-Wide แบบใหม่ และมีเซนเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่ามาขนาดใหญ่ขึ้นในกล้องหลัง สามารถรับแสงได้ดีขึ้นถึง 92% และเปิดมุมกว้างได้ถึง 120 องศา ซึ่งทั้งหมดทำให้ภาพถ่ายมุมกว้างออกมาสวยงาม ให้รายละเอียดที่ชัด

โหมดกลางคืน

โหมดกลางคืนจะมีการทำงานทั้งแบบอัตโนมัติ หรือเลือกเปิดโหมดใช้งานเอง โดยการใช้งานแบบอัตโนมัติ หากสภาพแวดล้อมในขณะนั้นดูแสงน้องมาก ระบบจะใช้การประมวลผล 1-2 วินาที เพื่อให้ภาพออกมาสวยงามมากขึ้น ซึ่งภาพที่ออกมาก็ดูสวยงาม เปิดเผยรายละเอียดได้ดี

นอกจากนี้โหมดมืดยังใช้งานร่วมกับโหมดมุมกว้างได้ด้วย ซึ่งเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 12MP ที่มีเซนเซอร์ใหญ่ขึ้น ทำให้รับแสงได้มากขึ้นถึง 92% ซึ่งช่วยการถ่ายภาพมุมกว้างในตอนกลางคืนมีความสวยงามเป็นพิเศษ

ไฟล์ Apple ProRAW

Apple ProRaw เริ่มให้ใช้งานมาตั้งแต่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ก็ยังใช้งานได้เช่นเดิม ซึ่งไฟล์ Apple ProRaw จะพิเศษกว่าไฟล์ RAW ทั่วๆ ไป โดยสามารถใช้งานร่วมกับกล้องบน iPhone ตัวใดก็ได้ พร้อมคุณสมบัติ โหมดกลางคืน, Smart HDR และ DeepFusion ซึ่งภาพจะออกมาดิบๆ และมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่กว่า JPEG ประมาณ 10 ถึง 12 เท่า ตรงนี้ช่วยให้ปรับแต่งภาพทั้ง สี, เปิดรับแสง, และไวท์บาลานส์ ได้มากขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น เหมาะกับคนที่ชอบแต่งภาพแบบดึงแสงสีเยอะๆ ลึกๆ

ภาพถ่าย Macro

ตอนนี้ iPhone 13 Pro Max สามารถถ่ายมาโครได้แล้ว ด้วยความสามารถของเลนส์ Ultra-Wide แบบใหม่ และระบบโฟกัส ช่วยให้โฟกัสในระยะใกล้ๆ ได้ และใกล้ได้มากสุดถึง 2 เซนติเมตร ใครที่ชอบถ่ายภาพแนวดอกไม้ หรือแมลง หลังจากนี้ก็ใช้ iPhone 13 Pro Max ไปถ่ายได้สบาย

Portrait หรือภาพบุคคล

iPhone 13 Pro Max การใช้งานในโหมด Portrait มีความสวยเป็นธรรมชาติอย่างมาก ด้วยเซนเซอร์ LiDAR และความฉลาดของชิปเซ็ต A15 Bionic ทำให้การเบลอพื้นหลังมีความเนียนเป็นอย่างมาก พร้อมเพิ่มลูกเล่นเอฟเฟคแสงไฟต่างๆ ได้แบบไม่มีปัญหาทั้ง แสงธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีแบบโมโน, และ HIGH-KEY Light MONO นอกจากนี้เซนเซอร์ LiDAR ยังช่วยให้ถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อยได้ดีอีกด้วย

การใช้งานกล้องหน้า

การใช้งานกล้องหน้า ความละเอียด 12MP ปกติจะใช้งานโหมดต่างๆ ได้น้อย แต่สำหรับ iPhone 13 Pro Max สามารถใช้งานโหมดต่างๆ ที่เหมือนกับกล้องหลังได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น โหมดภาพยนตร์, สไตล์ภาพถ่าย, บันทึกวิดีโอแบบ HDR, ภาพเซลฟี่ตอนกลางคืน, HDR อัจฉริยะ, Deep Fusion เป็นต้น

บันทึกวิดีโอ Cinematic Mode

การถ่ายวิดีโอแบบ HDR ในแบบ Dolby Vision มีการทำงานที่ดีขึ้น พร้อมเผยรายละเอียดในส่วนย้อนแสงได้ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจใน iPhone 13 Pro Max คือ Cinematic Mode ที่มีการจุดโฟกัสให้แบบอัจฉริยะ สลับซูมส่วนหน้าหลังได้เอง และมีความเนียนดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพราะมีเซนเซอร์ LiDAR ช่วยให้เบลอภาพส่วนหน้า หรือพื้นหลังได้เนียนๆ ซึ่งวิดีโอที่ออกมาจะดูสวยงามเหมือนถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ

Write a Comment