รีวิว iPhone 13 Pro หลังใช้งานจริง โปรสมชื่อมั้ย !?
iPhone 13 Pro พร้อมกับสีใหม่ ชิปใหม่ที่เร็วที่สุด กล้องที่ปรับให้สามารถใช้งานได้มีคุณภาพมากขึ้น! เรามาชมรีวิวกันเต็ม ๆ เลย ว่าใน iPhone 13 Pro มีอะไรใหม่ที่น่าสนใจบ้าง
เรามาดูในส่วนของดีไซน์ด้านนอกกล่องกันก่อน ในส่วนที่เปลี่ยนไปของกล่อง iPhone 13 Pro นั้นจะไม่มีพลาสติกห่อหุ้มมาเหมือนรุ่นก่อน ๆ แล้ว แต่จะเป็นซีลเล็ก ๆ ติดกับกล่อง
ดีไซน์ของ iPhone 13 Pro จะคล้ายกับ iPhone 12 Pro เลย จะเป็นขอบเหลี่ยมที่ใช้วัสดุสแตนเลสสตีล ดีไซน์ข้างหลังกล้องจะคล้ายกันแต่ขนาดของชิ้นเลนส์จะใหญ่ขึ้น ใช้พอร์ท Lightning มีสองลำโพง ถาดซิมส์ของ iPhone 13 Pro ตำแหน่งจะอยู่สูงขึ้นมาจาก iPhone 12 Pro เล็กน้อย
iPhone 13 Pro ขนาดของกล้อง TrueDepth หรือรอยบากจะเล็กลงกว่า iPhone 12 Pro 20% เลย ในส่วนของสี iPhone 13 Pro นั้นจะมีให้เลือก 4 สี เงิน กราไฟต์ ทอง และสีใหม่ล่าสุดคือ เซียร์ร่าบลู ( เดิม iPhone 12 มีสีแปซิฟิกบลู)
ส่วนกระจกจะใช้ Ceramic Shield ที่สามารถกันน้ำที่กระเด็นใส่และฝุ่น ที่ระดับ IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
iPhone 13 Pro จะมีอยู่สองขนาดด้วยกันคือ iPhone 13 Pro ขนาดจอ 6.1” ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi และ iPhone 13 Pro Max ขนาดจอ 6.7” ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลที่ 458 ppi ทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกับจอภาพ Super Retina XDR พร้อม ProMotion จอภาพ OLED ทั้งหน้าจอ
จุดที่เป็นไฮไลท์ในส่วนของหน้าจอคือใน iPhone 13 Pro จะมีเทคโนโลยี ProMotion ที่มีอัตราการ Refresh Rate แบบปรับได้สูงสุดที่ 120Hz (ใน iPhone 12 Pro จะมีอัตราการ Refresh Rate 60Hz) การใช้งานปกติทั่วไป การเลื่อนดูแอป ดูหน้าเว็ป เมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro จะมีความลื่นไหลที่ต่างกัน โดยจะมี Adaptive ProMotion ที่จะปรับอัตราการ Refresh Rate ช่วง 10Hz-120Hz อัตโนมัติตามคอนเทนต์ที่เราดูอยู่ เช่น เมื่อเล่นเกมส์ที่มีกราฟิกสูง ๆ ต้องการอัตราการ Refresh Rate 90-120 Hz
ใน iPhone 13 Pro หน้าจอสว่างขึ้นสูงสุด 25% เมื่ออยู่กลางแจ้ง และความสว่างสูงสุด 1,200 นิต สำหรับรูปภาพและวิดีโอ HDR ทำให้เราสามารถดูคอนเทนต์ได้ชัดเจนได้ดียิ่งขึ้น
ด้วยใน iPhone 13 Pro ด้วยความสามารถของจอภาพที่มีอัตราการ Refresh Rate สูงสุด 120Hz ทำให้การเล่นเกมส์บนชิป A15 Bionic ที่มี GPU แบบ 5-core ทำให้กราฟิกลื่นไหล การเล่นเกมไม่มีสะดุด เหมาะสุดๆ สำหรับสายเกม
นับว่าเป็นจุดที่ Apple อยากนำเสนอเป็นอย่างมากใน iPhone 13 Pro เรามาดูส่วนของดีไซน์ จะเห็นได้ว่าชิ้นเลนส์ของกล้องใหญ่ขึ้น ทำให้การรับแสงได้ดีมากขึ้น เซนเซอร์ในการรับแสงดีขึ้น
ใน iPhone 13 Pro จะมีฟีเจอร์สไตล์ภาพถ่ายที่เราสามารถปรับความสว่าง ปรับสี ปรับอุณภูมิ โทนต่าง ๆ ให้กับกล้องก่อนจะถ่ายรูป เช่น ต้องการถ่ายรูปโลเคชันสว่าง ๆ และต้องการปรับสีสไตล์ภาพให้ออกมาไม่สว่างมาก และลดโทนให้เย็นขึ้น ก็สามารถปรับก่อนถ่ายรูปได้เลย โดยที่เราไม่ต้องมาเสียเวลาแก้ไขโทนสีภาพทีละภาพ
• ถ้าปรับโทนลดลง เงาของภาพจะดำยิ่งขึ้นและมีคอนทราสต์จัดขึ้น
ใน iPhone 13 มีระบบออโต้โฟกัสที่สามารถโฟกัสได้ในระยะห่างเพียง 2 ซม. ทำให้สามารถถ่ายแบบมาโครได้ วิธีการใช้งานเราสามารถถ่ายโดยใช้กล้องไวด์ธรรมดาที่ระยะ 1X ใช้กล้องเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ เราจะเห็นความละเอียดเล็ก ๆ แบบใกล้ ๆ ได้ เช่น การถ่ายดอกไม้ หยดน้ำค้าง เส้นขน จิวเวอรี่ สามารถทำได้ดี และยังสามารถถ่ายวิดีโอแบบมาโครได้อีกด้วย
ในส่วนเลนส์ไวด์ระยะ 1X ใน iPhone 13 Pro มี HDR อัจฉริยะ 4 ภาพที่ถ่ายออกมาชัดเจน สีสดชัด รายละเอียดค่อนข้างดี เมื่อลองถ่ายย้อนแสง หน้าของแบบไม่ค่อยมืด และด้วยรูรับแสงกว้างขึ้นและเซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้นทำให้สามารถรับแสงได้มากขึ้นสูงสุดถึง 2.2 เท่าเมื่อเทียบกับ iPhone 12 Pro ทำให้การถ่ายโหมดกลางคืนถ่ายออกมาได้ดียิ่งขึ้น ตามตัวอย่างที่ได้เลย
สำหรับเลนส์อัลตร้าไวด์นั้นสามารถรับแสงได้มากขึ้นถึง 92% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ตัวอย่างการถ่ายอัลตร้าไวด์ 0.5X สิ่งที่ทำได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้คือ สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้น สามารถเก็บแสงได้ดียิ่งขึ้น 90% เมื่อเราใช้เลนส์อัลตร้าไวด์ในการถ่ายที่แสงน้อย ใน iPhone 13 Pro สามารถทำได้ดียิ่งขึ้น
ใน iPhone 13 Pro นั้นมีการปรับระยะของเทเลโฟโต้ ให้มีระยะโฟกัส 77 มม. และปรับระยะซูมแบบออปติคัลในระยะ 3X จากปกติแล้วใน iPhone 12 Pro ระยะซูมแบบออปติคัลจะอยู่ที่ 2.5X ใน iPhone 13 Pro ช่วงซูมแบบออปติคัลเมื่อรวมทั้งระบบแล้วจะอยู่ที่ 6X การปรับเลนส์เทเลโฟโต้นี้ทำให้เราซูมได้มากขึ้น เหมาะมากสำหรับการถ่ายภาพบุคคล หรือ การถ่ายภาพจากระยะไกลแล้วสามารถซูมถ่ายใกล้ ๆ ได้ชัดยิ่งขึ้น
โหมดภาพยนตร์สำหรับการบันทึกวิดีโอที่มีมิติความชัดตื้น ถูกลิมิตไว้ที่ความละเอียด 1080p ที่ 30 fps โดยในโหมดภาพยนตร์นี้เราสามารถถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอด้วยกล้องไวด์ เทโลโฟโต้ หรือ TrueDepth ได้ ซึ่งสามารถแตะสลับเลือกว่าจะโฟกัสจุดไหนได้ในระหว่างบันทึกวิดีโอ และมีการปรับโฟกัสอัตโนมัติหากมีจุดสนใจใหม่ที่โดดเด่นเข้ามาในเฟรมจะโฟกัสสิ่งนั้นทันที เมื่อลองถ่ายแล้ว การตัดภาพขอบแบบ 1X จะมีความเนียนมากกว่าการซูมแบบ 3X และนอกจากนั้นเรายังสามารถปรับระยะโฟกัสและระดับของโบเก้ หลังจากถ่ายไปแล้วได้อีกด้วย
การกันสั่นนั้นถือว่าทำได้ดีมากเพราะ iPhone 13 มีระบบกันสั่น 2 ชั้น คือ การสั่นที่ชิ้นเลนส์ OIS และ การสั่นแบบ Sensor Chip หรือการใช้ซอฟแวร์ช่วยในการสั่น ถ้าเราใช้เลนส์ไวด์ 1X ในการถ่าย การสั่นจะทำได้ดีกว่า
ในการถ่ายวิดีโอ ดีเทลดีขึ้น เรื่องของการวูบวาบเวลาที่เราถ่ายแสงที่ต่างกัน เช่น ถ่ายแบบแล้วมาถ่ายท้องฟ้า สีในวิดีโอจะไม่วูบ
เมื่อถ่ายวิดีโอแบบ 4K ภาพคมชัดมาก สีสันสดใส เสียงที่ได้มีความกังวาล ในส่วนของ iPhone 13 Pro (ความจุ 256GB ขึ้นไป) จะสามารถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ได้ความละเอียดจะอยู่ที่ 4k ที่ 30 fps หาก iPhone 13 Pro ความจุ 128GB จะถูกลิมิตไว้ที่ 1080p ที่ 30 fps ดังนั้นหากใครต้องการ ProRes ความละเอียดสูง ๆ ต้องเลือกความจุ 256GB
ซึ่งใน iPhone 13 Pro สามารถบันทึก ตัดต่อ และแชร์วิดีโอแบบเผยแพร่หรือส่งมายัง Final Cut Pro บน Mac ก็ทำได้ง่ายๆ เพราะไฟล์ ProRes จะแสดงสีสันสวยงามแต่มีการบีบอัดที่ต่ำ
กล้องหน้า TrueDepth สามารถใช้คุณสมบัติของกล้องหลังได้มากมาย ทำให้คุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องหน้านั้นมีความละเอียดที่คมชัด และสามารถถ่ายในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ใน iPhone 13 Pro ใช้พอร์ท Lightning การชาร์จสูงสุด 28W รองรับการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จแบบไร้สาย หรือ MagSafe กำลังไฟสูงสุดจะอยู่ที่ 15W
iPhone 13 Pro รองรับสองซิม ที่แตกต่างไปจากรุ่นก่อนหน้าคือสามารถรองรับ 2 eSIM สามารถใช้พร้อมกันได้ ในปกติแล้วใน iPhone 12 จะรองรับสองซิม ที่ซิมแรกจะเป็นซิมถาด Nano SIM และอีกซิมจะเป็น eSIM
แท่นชาร์จ MagSafe สำหรับการชาร์จไร้สายกำลังไฟสูงสุด 15W, เคสที่รองรับระบบ MagSafe ซึ่งมีทั้งจาก Apple และ 3rd Party ช่วยให้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม MagSafe ได้, MagSafe Wallet หรือกระเป๋าสตางค์ MagSafe ที่ช่วยให้เราเก็บบัตรต่าง ๆ ไว้ที่กระเป๋าสตางค์นั้นและนำมาติดกับ iPhone 13 ได้เลย
Write a Comment